tag:blogger.com,1999:blog-23119848261037097582024-03-14T04:42:05.681+07:00การตัดเย็บwutti007http://www.blogger.com/profile/04334429135169910787noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-2311984826103709758.post-32963494165539876302012-09-14T11:17:00.001+07:002017-02-11T15:05:16.842+07:00ประวัติศาสตร์การแต่งกายนานาชาติ<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify;">
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">ประวัติศาสตร์การแต่งกายของมนุษยชาติซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณเรื่อยๆ มาจนถึงศตวรรษที่ 20 เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบต่างๆ ตามยุคสมัยและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">การแต่งกายในโลกตะวันตกและญี่ปุ่น</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> การแต่งกายแบบตะวันตกนั้นมีพัฒนาการเรื่อยมาจากการใช้ผืนผ้าพันกาย (ROBE STYLE OF WRAPPING) มาสู่การตัดและเย็บเพื่อให้พอดีกับรูปร่าง (CUT AND SEW TO FIT THE BODY) ยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 และ 15 โดยการนับเป็น 3 สมัย ดังนี้</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">1.ยุคสมัยการใช้ผ้าผืนพันกายหรือสมัยโบราณ (ANCIENT TIME)</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">การแต่งกายในสมัยโบราณนี้ถือกำเนิดขึ้นในเขตอบอุ่น (SUBTROPICAL) บริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีรูปแบบเด่นชัดในการใช้ผ้าผืนห่อหุ้มร่างกาย ดังมีตัวอย่างเห็นได้จากผู้คนในสมัยโบราณชาวอียิปต์ กรีก และโรมัน เป็นต้น</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> 1.1 ชาวอียิปต์โบราณ</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> ชาวอียิปต์ทุกคนตั้งแต่พระราชาจนถึงสามัญชนห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าผืนที่ม้วนระหว่างขาและพันรอบเอว (LOIN CLOTH STYLE) จนถึงยุคกลางของอาณาจักร (MIDDLE KINGDOM ERA) และได้กลายเป็นแบบการแต่งกายที่มีระเบียบ (FORMAL DRESS) ในยุคต่อๆ มา สำหรับสาวอียิปต์โบราณนี้โดยทั่วไปแล้วใส่กระโปรงในรูปแบบชุดยาวสวมทางศรีษะ (CHEMISE) ภาพประกอบ A และชุดคลุมหลวมๆ (TUNIC) ภาพประกอบ B</span><br />
<div style="text-align: center;">
<span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-PW0syZwnzxM/UFKufsuS1wI/AAAAAAAAACM/-IOfmrKMjTw/s1600/IMG_0012.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" hea="true" height="320" src="https://4.bp.blogspot.com/-PW0syZwnzxM/UFKufsuS1wI/AAAAAAAAACM/-IOfmrKMjTw/s320/IMG_0012.jpg" width="226" /></a></span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-mj9pWXFxKcA/UFKulZLMuBI/AAAAAAAAACU/uTAthXVdnog/s1600/IMG_0012-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" hea="true" height="320" src="https://4.bp.blogspot.com/-mj9pWXFxKcA/UFKulZLMuBI/AAAAAAAAACU/uTAthXVdnog/s320/IMG_0012-1.jpg" width="196" /></a></span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">หมายเหตุ : ภาพประกอบ A และ B เป็นภาพสาวร่วมสมัย ไม่ใช่สาวอียิปต์โบราณแต่ที่ให้มาเพื่อจะได้เรียนรู้ศัพท์เป็นสำคัญ</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">ต่อมาในยุคอาณาจักรใหม่ (NEW KINGDOM ERA) ได้มีแฟชั่นใหม่เรียกว่า คาราสิรี (KARASIRIS) ซึ่งใช้ผ้าลินินบางๆ มาห่อหุ้มร่างกาย (ดูภาพประกอบที่ 1) ในยุคสมัยนี้แฟชั่นการตัดผมสั้นเป็นที่นิยมทั้งชายและหญิง มีการสวมใส่วิกและการประดับประดาเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะบริเวณปกด้วยสีสันสดใส</span></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-5VAaIDlTPvo/UFKvBSFSBaI/AAAAAAAAACc/dNfIRaoE3pE/s1600/IMG_0013-3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" hea="true" height="320" src="https://2.bp.blogspot.com/-5VAaIDlTPvo/UFKvBSFSBaI/AAAAAAAAACc/dNfIRaoE3pE/s320/IMG_0013-3.jpg" width="138" /></a><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> </span></div>
<span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> 1.2 ชาวกรีกโบราณ</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> การแต่งกายของชาวกรีกโบราณมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวในรูปแบบเรียบง่ายและมีการใช้พลีทหรือจับจีบ ในช่วงต้นมีการใช้ผ้าคลุมส่วนบนร่างกาย (PEPLOS) แบบง่ายๆ ด้วย ต่อมาในยุคคลาสสิก (CLASSICAL PERIOD) ได้เกิดความนิยมที่กรุงเอเธนส์ในการใส่ชุดยาวหลวมๆ (CHITON) ทำจากผ้าลินินบางๆ แบบไอโอเนียน (IONIAN STYLE) (ผู้เขียน : IONIA เป็นแถบชายฝั่งทะเลและหมู่เกาะที่ยื่นมาในบริเวณเอเชียไมเนอร์ตะวันตก ชาวไอโอเนียนเป็นหนึ่งในสี่ชนพื้นเมืองส่วนใหญ่ของกรีกโบราณ และมีถิ่นที่อยู่ในด้านตะวันออกของกรีกในช่วงยุคสมัย 1,100 ปีก่อนคริสตศักราช) ส่วนบนของร่างกายมีการใช้ผ้าผืนคลุม อาจจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือสี่เหลี่ยมจตุรัสก็ได้ (HIMATION) ลักษณะเป็นผ้าคลุมไหล่ขนาดใหญ่ ปกติใช้คลุมไหล่ซ้ายข้างเดียว (ดูภาพประกอบที่ 2)</span><br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-Eik_9PB_MXk/UFKvi5ubYMI/AAAAAAAAAC0/fe0JHjVkyyw/s1600/IMG_0013-a.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" hea="true" height="262" src="https://2.bp.blogspot.com/-Eik_9PB_MXk/UFKvi5ubYMI/AAAAAAAAAC0/fe0JHjVkyyw/s400/IMG_0013-a.jpg" width="400" /></a><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">
</span></div>
<span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">1.3 ชาวโรมันโบราณ</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> เมื่อพรรครีพับรรีกันเป็นรัฐบาลในกรุงโรม ชายชาตรีไฮโซสวมใส่เครื่องนุ่งห่มคล้ายจีวร(TOGA) (ดูภาพประกอบที่ 3) คลุมทับกับชุดทูนิคที่สวมใส่ไว้ข้างใน สำหรับสตรีแต่งด้วยชุดยาว (STOLA) และผ้าคลุม (PALLA) ซึ่งเรียนแบบมาจากชาวกรีก ในยุคสมัยของจักรพรรดิชุดคลุมหลวมแบบ TUNIC ถูกทดแทนด้วยชุดหลวมตัดตรงแขนกว้าง เรียกว่า DALMATICA ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของการแต่งกายสมัยกลางและยังคงใช้พิธีการทางศาสนาจนทุกวันนี้</span><br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-p2l432-A7Kw/UIZB5TC36FI/AAAAAAAAADE/1YSRuiFh7bc/s1600/IMG_0013-4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" oea="true" src="https://3.bp.blogspot.com/-p2l432-A7Kw/UIZB5TC36FI/AAAAAAAAADE/1YSRuiFh7bc/s320/IMG_0013-4.jpg" width="262" /></a><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">
</span></div>
<span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">PALLA (ลาติน) PALL (อังกฤษ) ผ้าคลุมในพิธีกรรม เช่น ผ้าคลุมจากกาลิกในพิธีมิสซาศาสนาคาทอลิกหรือผ้าคลุมหีบศพ ต่อมาดัดแปลงเป็นการคลุมไหล่คล้ายผ้าคลุมบ่า 2 ข้าง คลุมข้ามาด้านหน้าและใช้สร้อยยาวกลัดชายผ้าสองข้างด้านหน้าอก ประดับประดาสร้อยให้สวยงามอีกต่างหากเรียกว่า PALLIUM เป็นเครื่องหมายแสดงยศถาบรรดาศักดิ์</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">จากรูปแบบ TUNIC ซึ่งเป็นชุดคลุมหลวมได้ย่างเข้าสู่รูปลักษณ์ที่เป็นเสื้อผ้า (DRESS)</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">2. ยุคสมัยกลาง (MEDIEVAL TIME)</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> ภายหลังจากการแบ่งแยกจักรวรรดิโรมัน ประเทศโณมันตะวันออกได้กลายเป็นผู้นำที่ล้ำหน้ามากที่สุดในสมัยกลางนี้และได้ซึมซับเอาวัฒนธรรมทั้งแบบ HELLENISM (กรีกโบราณ) และ SARACENIC (เผ่าพันธุ์อาราเบียดั้งเดิม) ในยุคนี้ได้ถูกขนานนามว่ายุค BYZANTINE</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> 2.1 ยุค BYZANTINE</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> ลักษณะการแต่งกายในยุคนี้ถือได้ว่าเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์ โดยได้รวมการใช้ผ้าพันกาย (ROBE STYLE) ของชาวโรมันเข้ากับรูปแบบของชาวเหนือผนวกกับรสนิยมหรูของชนเผ่าตะวันออก</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> ผู้คนจะใส่ชุดคลุมด้านนอกสีม่วง เรียกว่า PALUDAMENTUM (ดูภาพประกอบที่ 4) และผู้ชายมักใส่ชุด DALMATICA หรือชุดหลวมตรงทรงยาวระดับเข่า แขนกว้างและใส่ถุงน่องยาวถึงต้นขาเหนือเข่า (คล้าย STOCKINGSในปัจจุบัน) เรียกว่า CHAUSSES ในขณะที่พวกผู้หญิงมักใส่ชุด DALMATICA ยาวถึงข้อเท้า และประดับประดาอย่างหรูหรา ในยุคนี้ได้มีการนำเทคนิคการทอผ้าไหมมาใช้ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบของเทคนิคการทอผ้าในยุโรป</span><br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-Wxf9mE-VZKM/UIZCM5tSUTI/AAAAAAAAADM/mkjLmeClwfk/s1600/IMG_0014-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" oea="true" src="https://1.bp.blogspot.com/-Wxf9mE-VZKM/UIZCM5tSUTI/AAAAAAAAADM/mkjLmeClwfk/s320/IMG_0014-1.jpg" width="226" /></a><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">
</span></div>
<span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">2.2 ยุค ROMANESQUE ยุคนี้อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 12 และ 13 การแต่งกายช่วงนี้กลุ่มคนที่อยู่ในระบบการยึดครองดินแดนมักใช้เสื้อผ้าหนาสวมใส่เพื่อจะให้ดูกลมกลืนเข้ากับความเชื่อถือ ลักษณะที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือ ทั้งชายและหญิงจะใส่ชุดชั้นในทำจากใยกัญชา (HEMPEN) เรียกว่า CHAINSE และสวมเสื้อทับในรูปแบบ TUNIC แต่ส่วนบนเหนือเอวรัดรูป เรียกว่า BLIAUT (ดูถาพประกอบที่ 5 และ 6) พร้อมกับทับอีกชั้นหนึ่งด้วยเสื้อคลุมยาวหลวมลักษณะคล้าย TUNIC ไม่มีแขนเรียกว่า SURCOTE (ภาพประกอบที่ 7) หรือใช้ผ้ายาวคลุมห่มข้ามไหล่ เรียกว่า MANTLE (ภาพประกอบที่ 5 และ 6)</span><br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-ZBddjd966w0/UIZDaQiMSUI/AAAAAAAAADk/Y2qeeiqkHVw/s1600/IMG_0014-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" oea="true" src="https://1.bp.blogspot.com/-ZBddjd966w0/UIZDaQiMSUI/AAAAAAAAADk/Y2qeeiqkHVw/s320/IMG_0014-2.jpg" width="226" /></a><a href="http://1.bp.blogspot.com/-i6s6VMJ1NUw/UIZDgEc1D0I/AAAAAAAAADs/MwG7Y1V52_U/s1600/IMG_0014-3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" oea="true" src="https://1.bp.blogspot.com/-i6s6VMJ1NUw/UIZDgEc1D0I/AAAAAAAAADs/MwG7Y1V52_U/s320/IMG_0014-3.jpg" width="226" /></a><a href="http://1.bp.blogspot.com/-6U9A5eSKV7A/UIZEB8TkH6I/AAAAAAAAAD0/LV9d6cSDto4/s1600/IMG_0014-4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" oea="true" src="https://1.bp.blogspot.com/-6U9A5eSKV7A/UIZEB8TkH6I/AAAAAAAAAD0/LV9d6cSDto4/s320/IMG_0014-4.jpg" width="224" /></a><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">
</span></div>
<span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;">สำหรับผู้หญิงจะใส่ VEILS (ผ้าคลุมศรีษะประดับชายลูกไม้พร้อมกับสายรัดใต้คาง ซึ่งเป็นต้นแบบที่ถูกนำมาดัดแปลงให้กับแม่ชีชาวตะวันตก)</span><span style="font-family: "arial" , "helvetica" , sans-serif;"> เสื้อ BLIAUT ต่อมาได้มีการเพิ่มทักษะขึ้น ผู้หญิงเริ่มใช้เชือกหรือสายคาดรัดเสื้อให้เข้ารูป และเสื้อผ้าเริ่มเปลี่ยนแปลงมาเป็นลักษณะรัดรูป ส่วนผู้ชายโดยทั่วไปแล้วใส่เสื้อแจ็คเก๊ตยาวระดับเอว และใส่กางเกงทรงหลวมซึ่งยังเรียกว่า CHAUSSES อยู่</span></div>
</div>
<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;">
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
</div>
wutti007http://www.blogger.com/profile/04334429135169910787noreply@blogger.com0